ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างทำเนียบขาวและยักษ์ใหญ่แห่งวงการเซมิคอนดักเตอร์อย่าง Intel กำลังเดินทางมาถึงจุดแตกหัก เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท

เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ตามเวลาท้องถิ่น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม Truth Social ของตนเอง โดยมีเนื้อหาเรียกร้องให้ นายแพท เกลซิงเกอร์ (Pat Gelsinger) ประธานและซีอีโอของ Intel ลาออกในทันที
“เกลซิงเกอร์แห่ง Intel คือภัยต่อความมั่นคงของชาติ เขากำลังขยายการลงทุนในจีนด้วยเทคโนโลยีชิปที่ดีที่สุดของเรา เขาต้องลาออกเดี๋ยวนี้! เราต้องการชิปอเมริกัน ที่ผลิตในอเมริกา” ทรัมป์ระบุในโพสต์
“ภัยต่อความมั่นคง” ที่ว่าคืออะไร?
การโจมตีอย่างหนักหน่วงครั้งนี้มีต้นตอมาจากการที่ Intel เพิ่งประกาศแผนการที่จะ ขยายศูนย์วิจัยและพัฒนา (R&D) ด้านเซมิคอนดักเตอร์ในเมืองเฉิงตู ประเทศจีน
ฝ่ายบริหารของทรัมป์มองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการ “ทรยศ” ต่อผลประโยชน์ของชาติ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่ทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีการผลิตชิปที่ล้ำหน้าที่สุดของสหรัฐฯ อาจรั่วไหลไปยังประเทศจีน ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญ และยังสวนทางกับนโยบาย “America First” ที่ต้องการดึงอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงกลับมายังแผ่นดินอเมริกา
Intel โต้กลับทันควัน
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังโพสต์ดังกล่าว คณะกรรมการบริหารของ Intel ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ทันที โดยแสดงจุดยืนที่แข็งกร้าวในการสนับสนุนซีอีโอของตน
“คณะกรรมการบริหารขอยืนยันว่าจะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และไม่มีเงื่อนไขใดๆ ต่อคุณแพท เกลซิงเกอร์ และทีมผู้บริหารของเขา” แถลงการณ์ระบุ
Intel ชี้แจงว่า การดำเนินงานในประเทศจีนนั้นมีขึ้นเพื่อรองรับลูกค้าในตลาดดังกล่าว และเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับการส่งออกของสหรัฐฯ ทุกประการ พร้อมทั้งย้ำถึงการลงทุนมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ของบริษัทในการสร้างโรงงานผลิตชิปแห่งใหม่ในสหรัฐฯ (ที่รัฐแอริโซนา, โอไฮโอ และอื่นๆ) ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านเซมิคอนดักเตอร์ของอเมริกา
ผลกระทบและภาพสะท้อน
การปะทะกันโดยตรงระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง:
- ตลาดหุ้น: ราคาหุ้นของ Intel (INTC) ร่วงลงอย่างหนักในการซื้อขายนอกเวลาทำการทันทีหลังมีข่าว
- ภาพรวมอุตสาหกรรม: สร้างความไม่แน่นอนให้กับบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีการลงทุนหรือดำเนินงานในประเทศจีน และอาจเป็นการส่งสัญญาณถึงแรงกดดันทางการเมืองที่หนักหน่วงยิ่งขึ้นในอนาคต
เหตุการณ์นี้ถือเป็นบททดสอบสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงของสหรัฐฯ และเป็นที่น่าจับตามองอย่างยิ่งว่าความขัดแย้งระหว่างทำเนียบขาวและ Intel จะดำเนินต่อไปในทิศทางใด



