ซานโฮเซ, แคลิฟอร์เนีย – SanDisk แบรนด์ชั้นนำด้านโซลูชันหน่วยความจำภายใต้การดูแลของ Western Digital ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะมาเปลี่ยนนิยามของสตอเรจความจุสูง นั่นคือ SSD ที่มีความจุมากถึง 256 เทราไบต์ (TB) ในไดรฟ์ขนาด 3.5 นิ้วเพียงตัวเดียว ซึ่งถือเป็นความจุที่สูงที่สุดในโลกสำหรับ SSD ในปัจจุบัน
ไม่ใช่สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป แต่สร้างมาเพื่อโลกของ “คลาวด์”
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ SSD รุ่นนี้ ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป หรือสำหรับใส่ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและแล็ปท็อปตามบ้าน แต่เป็นผลิตภัณฑ์ระดับองค์กร (Enterprise) ที่มีกลุ่มเป้าหมายคือ ศูนย์ข้อมูล (Data Centers) และผู้ให้บริการคลาวด์ขนาดใหญ่ (เช่น Amazon Web Services, Google Cloud) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อใช้แทนที่ฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุน (HDD) แบบดั้งเดิม
เจาะลึกเทคโนโลยี UltraQLC
เบื้องหลังความจุมหาศาลนี้คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า UltraQLC (Quad-Level Cell) หากจะอธิบายให้เข้าใจง่าย เทคโนโลยีนี้เปรียบเสมือนการสร้าง “คอนโดมิเนียมเก็บข้อมูล” ที่สูงขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม โดยสามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 4 บิตในเซลล์หน่วยความจำเพียงเซลล์เดียว ซึ่งมากกว่าเทคโนโลยีทั่วไป (TLC) ที่เก็บได้ 3 บิต ทำให้สามารถสร้าง SSD ที่มีความจุสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในต้นทุนที่ต่ำลง
เหมาะสำหรับงานประเภทไหน?
SSD ความจุ 256TB นี้ถูกออกแบบมาสำหรับงานที่เรียกว่า “Warm Storage” หรือ “Read-Intensive” ซึ่งหมายถึงการเก็บข้อมูลที่ไม่ได้ถูกเรียกใช้งานบ่อยครั้งเท่าข้อมูลที่ต้องใช้ตลอดเวลา แต่ก็ต้องพร้อมให้เรียกใช้ได้อย่างรวดเร็วเมื่อต้องการ ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจนคือ:
- คลังรูปภาพบนคลาวด์: เช่น รูปใน iCloud หรือ Google Photos ที่เราอาจจะไม่ได้เปิดดูทุกวัน แต่เมื่อต้องการเปิดดู ก็ต้องแสดงผลขึ้นมาทันที
- คลังวิดีโอสตรีมมิ่ง: เช่น คลังภาพยนตร์หรือซีรีส์เก่าๆ ของ Netflix ที่รอให้ผู้ใช้กดเข้ามาดู
- ข้อมูลวิเคราะห์ขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ที่ต้องเก็บข้อมูลไว้จำนวนมหาศาลเพื่อรอการประมวลผล
ประโยชน์ต่อโลกของคลาวด์
การมาถึงของ SSD ความจุยักษ์นี้จะส่งผลดีต่อศูนย์ข้อมูลอย่างมาก เพราะการที่สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 256TB ในพื้นที่ของฮาร์ดไดรฟ์ 3.5 นิ้วเพียงลูกเดียว จะช่วยประหยัดพื้นที่ในชั้นวางเซิร์ฟเวอร์และลดการใช้พลังงานได้อย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับการใช้ฮาร์ดดิสก์จำนวนหลายสิบลูก ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ประสิทธิภาพและต้นทุนที่ลดลงนี้ก็จะส่งผลดีมาถึงผู้ใช้บริการคลาวด์อย่างเราทุกคน
