ก่อนจะสรุปว่าแบตเตอรี่หรือตัวเครื่องมีปัญหา ลองทำตามขั้นตอนเหล่านี้เรียงตามลำดับจากง่ายไปยาก เพื่อหาสาเหตุและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
1. ตรวจสอบสายชาร์จและอะแดปเตอร์
นี่คือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ลองตรวจสอบสายชาร์จว่ามีร่องรอยหัก, งอ, ขาด หรือหัวพอร์ตมีคราบสกปรกหรือไม่ ลองสลับใช้สายชาร์จและอะแดปเตอร์เส้นอื่นที่มั่นใจว่าใช้งานได้ปกติ หากชาร์จเข้า แสดงว่าสายหรืออะแดปเตอร์เดิมของคุณเสีย
2. ทำความสะอาดพอร์ตชาร์จอย่างระมัดระวัง
ฝุ่น, ใยผ้า หรือเศษผงเล็กๆ ที่เข้าไปอุดตันในพอร์ตชาร์จ USB-C เป็นสาเหตุยอดฮิตที่ทำให้ชาร์จไม่เข้า
- วิธีทำ: ใช้ไฟฉายส่องดูในพอร์ต หากมีสิ่งสกปรก ให้ใช้อุปกรณ์ที่ไม่นำไฟฟ้าและมีขนาดเล็ก เช่น ไม้จิ้มฟัน (ไม้), แปรงสีฟันขนนุ่ม หรือใช้ลมเป่า (เช่น ที่เป่าลมทำความสะอาดเลนส์กล้อง) ค่อยๆ เขี่ยเศษสกปรกออกมา ห้ามใช้ของมีคมหรือโลหะเด็ดขาด เพราะอาจทำให้พอร์ตเสียหายได้
3. รีสตาร์ทเครื่อง (Soft Reset)
บางครั้งปัญหาอาจเกิดจากซอฟต์แวร์ค้างหรือทำงานผิดพลาดชั่วคราว การรีสตาร์ทเครื่องเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการล้างข้อผิดพลาดเหล่านั้น ลองกดปุ่ม Power ค้างไว้แล้วเลือก “รีสตาร์ท”
4. แก้ปัญหา “ตรวจพบความชื้น” (Moisture Detected)
หากคุณเห็นไอคอนรูปหยดน้ำขึ้นมาที่หน้าจอ แสดงว่าเซ็นเซอร์ตรวจพบความชื้นในพอร์ตชาร์จ
- วิธีแก้: ค่อยๆ เคาะโทรศัพท์โดยให้พอร์ตชาร์จคว่ำลงกับฝ่ามือเพื่อไล่น้ำออก จากนั้นนำไปวางไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท หรือใช้พัดลมเป่า ห้ามใช้ไดร์เป่าผมหรือนำไปตากแดดเด็ดขาด เพราะความร้อนสูงจะทำลายอุปกรณ์ได้
5. ลองเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟ
ลองเปลี่ยนจากปลั๊กผนังไปชาร์จกับคอมพิวเตอร์ผ่านพอร์ต USB หรือชาร์จกับพาวเวอร์แบงค์ เพื่อตรวจสอบว่าปัญหาเกิดจากปลั๊กไฟหรืออะแดปเตอร์หรือไม่
6. บูตเข้า Safe Mode
บางครั้งแอปพลิเคชันที่ติดตั้งล่าสุดอาจเป็นสาเหตุของปัญหา การบูตเข้า Safe Mode จะทำให้เครื่องรันเฉพาะแอปของระบบ
- วิธีทำ: กดปุ่ม Power ค้างไว้ > แตะค้างที่ไอคอน “ปิดเครื่อง” บนหน้าจอ > จะมีตัวเลือก “เซฟโหมด” ปรากฏขึ้นมา ให้แตะเพื่อรีสตาร์ท หากชาร์จเข้าใน Safe Mode แสดงว่ามีแอปบางตัวที่คุณเพิ่งติดตั้งไปก่อให้เกิดปัญหา ให้ลองลบแอปนั้นออก
7. อัปเดตซอฟต์แวร์
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าซอฟต์แวร์ของเครื่องเป็นเวอร์ชันล่าสุด เพราะการอัปเดตมักจะมีการแก้ไขข้อบกพร่อง (Bug Fix) ต่างๆ ซึ่งอาจรวมถึงปัญหาการชาร์จด้วย
- วิธีทำ: ไปที่ การตั้งค่า > อัปเดตซอฟต์แวร์ > ดาวน์โหลดและติดตั้ง
8. ล้างแคชของ USB Settings
เป็นวิธีแก้ปัญหาเชิงลึกขึ้นมาอีกระดับ สำหรับกรณีที่ซอฟต์แวร์ที่ควบคุมพอร์ต USB ทำงานผิดพลาด
- วิธีทำ: ไปที่ การตั้งค่า > แอป > แตะที่ไอคอนตัวกรอง (ขีดสามขีด) แล้วเปิด “แสดงแอปของระบบ” > ค้นหา “USBSettings” > แตะเข้าไปแล้วเลือก “ที่เก็บ” > กด “ล้างแคช” (Clear Cache) ที่มุมขวาล่าง
9. ตรวจสอบการชาร์จแบบไร้สาย (ถ้ามี)
หากโทรศัพท์ของคุณรองรับการชาร์จแบบไร้สาย ลองนำไปวางบนแท่นชาร์จไร้สาย หากชาร์จเข้า อาจเป็นไปได้ว่าพอร์ตชาร์จมีปัญหาด้านฮาร์ดแวร์
10. สำรองข้อมูลและรีเซ็ตค่าโรงงาน (Factory Reset)
นี่คือทางเลือกสุดท้ายหากทุกวิธีข้างต้นไม่ได้ผล และควรทำเมื่อแน่ใจว่าได้สำรองข้อมูลสำคัญทั้งหมดแล้วเท่านั้น เพราะการรีเซ็ตจะลบข้อมูลทุกอย่างในเครื่อง
- วิธีทำ: ไปที่ การตั้งค่า > การจัดการทั่วไป > รีเซ็ต > รีเซ็ตข้อมูลเป็นค่าเริ่มต้น
หากลองครบทุกวิธีแล้วยังชาร์จไม่เข้า แสดงว่าอาจเป็นปัญหาที่ฮาร์ดแวร์ เช่น พอร์ตชาร์จหรือเมนบอร์ดเสียหาย ควรนำเครื่องไปให้ศูนย์บริการ Samsung ที่เชี่ยวชาญตรวจสอบจะดีที่สุด
อ้างอิง (References)
- Galaxy phone or tablet will not power on or charge – Samsung US Support



