10 วิธีแก้ปัญหา iPhone แบตหมดไว หมดเร็ว ทำตามง่าย ช่วยยืดอายุการใช้งาน

รู้สึกไหมว่า iPhone ในมือแบตเตอรี่หมดเร็วกว่าที่เคย? ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากแบตเสื่อมเสมอไป แต่อาจมาจากการตั้งค่าบางอย่างที่เปิดใช้งานอยู่โดยไม่จำเป็น บทความนี้ได้รวบรวม 10 เทคนิคการตั้งค่าง่ายๆ ที่จะช่วยแก้ปัญหาแบตไหลและยืดอายุการใช้งาน iPhone ของคุณให้ยาวนานขึ้นได้จริง

2 Min Read

🔥 Hot Seal: ดีลเด็ด! สินค้าไอทีลดราคาที่คุณไม่ควรพลาด คลิ๊ก

การที่แบตเตอรี่ iPhone หมดไวเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากซอฟต์แวร์และพฤติกรรมการใช้งาน การปรับตั้งค่าพื้นฐานเหล่านี้สามารถช่วยแก้ปัญหาได้อย่างมีนัยสำคัญ

ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่

1. ตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่และแอปที่ใช้พลังงานสูง

ก่อนอื่นต้องรู้สาเหตุ ไปที่ การตั้งค่า > แบตเตอรี่

  • สุขภาพแบตเตอรี่และการชาร์จ: ดูที่ “ความจุสูงสุด” หากต่ำกว่า 80% อาจถึงเวลาที่ควรพิจารณาเปลี่ยนแบตเตอรี่
  • ดูกราฟการใช้งาน: เลื่อนลงมาดูว่าแอปไหนที่ “ใช้พลังงานแบตเตอรี่” สูงที่สุด หากเป็นแอปที่คุณไม่ค่อยได้ใช้ อาจพิจารณาลบออกหรือจำกัดการทำงานของแอปนั้น
ปิดการดึงข้อมูลใหม่ให้แอปอยู่เบื้องหลัง

2. ปิดการดึงข้อมูลใหม่ให้แอปอยู่เบื้องหลัง (Background App Refresh)

ฟีเจอร์นี้อนุญาตให้แอปอัปเดตข้อมูลอยู่ตลอดเวลาแม้เราไม่ได้เปิดใช้ ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้แบตหมดเร็ว

  • วิธีทำ: ไปที่ การตั้งค่า > ทั่วไป > ดึงข้อมูลใหม่ให้แอปอยู่เบื้องหลัง จากนั้นเลือกปิดทั้งหมด หรือเลือกปิดเป็นรายแอป โดยเหลือไว้เฉพาะแอปที่จำเป็นจริงๆ เช่น แอปแชตหรืออีเมล
Location Services

3. จัดการบริการหาตำแหน่งที่ตั้ง (Location Services)

แอปจำนวนมากขอเข้าถึงตำแหน่งที่ตั้งของคุณตลอดเวลา ซึ่งสิ้นเปลืองพลังงานอย่างมาก

  • วิธีทำ: ไปที่ การตั้งค่า > ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย > บริการหาตำแหน่งที่ตั้ง
    • เลือกปิดสำหรับแอปที่ไม่จำเป็น
    • สำหรับแอปที่จำเป็น ให้ตั้งค่าเป็น “ในระหว่างใช้แอป” (While Using the App) แทน “ตลอดเวลา” (Always)
    • ปิด “ตำแหน่งที่ตั้งที่แน่นอน” (Precise Location) สำหรับแอปที่ไม่ต้องการความแม่นยำสูง เช่น แอปโซเชียลมีเดีย
Low Power Mode

4. ใช้โหมดประหยัดพลังงาน (Low Power Mode)

วิธีที่ง่ายและเร็วที่สุดเมื่อต้องการประหยัดแบตเตอรี่ โหมดนี้จะลดการทำงานเบื้องหลัง, การดาวน์โหลดอัตโนมัติ และเอฟเฟกต์ภาพบางส่วน

  • วิธีทำ: ไปที่ การตั้งค่า > แบตเตอรี่ แล้วเปิด “โหมดประหยัดพลังงาน” หรือเปิดจาก Control Center
Dark Mode

5. ลดความสว่างและใช้โหมดมืด (Dark Mode)

หน้าจอคือส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุด การลดความสว่างลงจะช่วยประหยัดแบตได้ทันที และหาก iPhone ของคุณใช้จอ OLED (iPhone X ขึ้นไป) การใช้โหมดมืดจะช่วยประหยัดพลังงานได้มากเพราะพิกเซลสีดำจะไม่เปล่งแสง

  • วิธีทำ: ปรับความสว่างได้จาก Control Center และเปิดโหมดมืดได้ที่ การตั้งค่า > จอภาพและความสว่าง
ตั้งค่าการล็อคหน้าจออัตโนมัติให้เร็วขึ้น

6. ตั้งค่าการล็อคหน้าจออัตโนมัติให้เร็วขึ้น

การตั้งให้หน้าจอดับเร็วขึ้นเมื่อไม่ใช้งาน จะช่วยลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นได้

  • วิธีทำ: ไปที่ การตั้งค่า > จอภาพและความสว่าง > ล็อคอัตโนมัติ แล้วเลือกเป็น “30 วินาที”
Notifications

7. จำกัดการแจ้งเตือน (Notifications)

ทุกการแจ้งเตือนจะปลุกหน้าจอให้สว่างขึ้น การปิดการแจ้งเตือนของแอปที่ไม่สำคัญจะช่วยลดการทำงานของหน้าจอได้

  • วิธีทำ: ไปที่ การตั้งค่า > การแจ้งเตือน แล้วเลือกปิดการแจ้งเตือนสำหรับแอปที่ไม่จำเป็น

8. ตั้งค่าการรับอีเมลเป็น Fetch แทน Push

การตั้งค่าแบบ Push จะทำให้ iPhone เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลาเพื่อรอรับเมลใหม่ การเปลี่ยนเป็น Fetch จะให้เครื่องเช็กเมลเป็นรอบๆ ซึ่งประหยัดพลังงานกว่า

  • วิธีทำ: ไปที่ การตั้งค่า > เมล > บัญชี > ดึงข้อมูลใหม่ แล้วเปลี่ยนจาก “ผลัก” (Push) เป็น “ดึงข้อมูล” (Fetch) และตั้งเวลาเป็น “ทุก 30 นาที” หรือ “รายชั่วโมง”
ปิดการเชื่อมต่อที่ไม่จำเป็น

9. ปิดการเชื่อมต่อที่ไม่จำเป็น

หากไม่ได้ใช้งาน ควรปิด Wi-Fi, Bluetooth และ AirDrop เพื่อไม่ให้เครื่องต้องคอยสแกนหาอุปกรณ์หรือเครือข่ายอยู่ตลอดเวลา

  • วิธีทำ: ปิดได้ง่ายๆ จาก Control Center
อัปเดต iOS

10. อัปเดต iOS และแอปให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดเสมอ

Apple และนักพัฒนาแอปมักจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและแก้ไขปัญหาการใช้พลังงานที่ผิดปกติในซอฟต์แวร์เวอร์ชันใหม่อยู่เสมอ การอัปเดตจึงเป็นสิ่งสำคัญ

อ้างอิง (References)

Share This Article