Google เปิดตัว ‘แฮ็กเกอร์นิทรา’ AI Big Sleep ค้นพบแล้ว 20 ช่องโหว่

Google เผยโฉม "Big Sleep" ปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกสร้างมาเพื่อล่าช่องโหว่ความปลอดภัยโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นผลงานความร่วมมือระหว่างทีม DeepMind และ Project Zero โดยล่าสุดได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญในการค้นพบช่องโหว่ในซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สชื่อดังได้ด้วยตัวเองแล้วถึง 20 รายการ

1 Min Read

🔥 Hot Seal: ดีลเด็ด! สินค้าไอทีลดราคาที่คุณไม่ควรพลาด คลิ๊ก

เมาน์เทนวิว, แคลิฟอร์เนีย – Google ได้ประกาศความสำเร็จครั้งสำคัญของ “Big Sleep” โครงการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่เป็นนักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์โดยเฉพาะ โดยล่าสุด AI ดังกล่าวสามารถค้นหา, ตรวจสอบ และรายงานช่องโหว่ความปลอดภัยในซอฟต์แวร์ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายได้สำเร็จเป็นครั้งแรกถึง 20 รายการ

เปิดตัว “แฮ็กเกอร์นิทรา” ผู้ทำงานไม่เคยหลับใหล

“Big Sleep” เป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสองทีมที่เก่งที่สุดของ Google คือ DeepMind ทีมวิจัย AI ระดับโลก และ Project Zero ทีมนักวิจัยความปลอดภัย (หรือแฮกเกอร์สายขาว) ชั้นแนวหน้าของวงการ ชื่อเล่น “แฮ็กเกอร์นิทรา” (Sleeping Hacker) มาจากแนวคิดที่ว่า AI นี้สามารถทำงานเพื่อค้นหาช่องโหว่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุดพัก แม้ในขณะที่นักวิจัยที่เป็นมนุษย์กำลังหลับใหล

เบื้องหลังการทำงาน: ไม่ใช่แค่สแกน แต่คือการ “คิด” แบบแฮกเกอร์

Big Sleep ไม่ใช่โปรแกรมสแกนหาช่องโหว่แบบธรรมดา แต่เป็น AI ที่ขับเคลื่อนด้วยโมเดล Gemini เวอร์ชันปรับแต่งพิเศษ มันถูกฝึกฝนให้ “คิด” และ “เลียนแบบ” พฤติกรรมของแฮกเกอร์ โดยจะทำการวิเคราะห์โค้ด, ลองผิดลองถูกกับวิธีการโจมตีรูปแบบใหม่ๆ และค้นหาจุดอ่อนที่ซับซ้อนซึ่งเครื่องมืออัตโนมัติแบบเดิมๆ อาจมองข้ามไป

ผลงานล่าสุด: 20 ช่องโหว่ในซอฟต์แวร์โอเพนซอร์ส

ช่องโหว่ 20 รายการแรกที่ Big Sleep ค้นพบนั้น อยู่ในซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งรวมถึง:

  • FFmpeg: ไลบรารีสำหรับจัดการไฟล์วิดีโอและเสียงที่แอปพลิเคชันจำนวนมากเรียกใช้
  • ImageMagick: ชุดเครื่องมือสำหรับแก้ไขและจัดการไฟล์รูปภาพ

การค้นพบช่องโหว่ในซอฟต์แวร์ระดับพื้นฐานเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นวงกว้างกับผลิตภัณฑ์และบริการนับพันที่ใช้ซอฟต์แวร์เหล่านี้เป็นส่วนประกอบ

มนุษย์ยังคงสำคัญที่สุด

Google ได้ย้ำว่าเป้าหมายของ Big Sleep ไม่ใช่การเข้ามาแทนที่ นักวิจัยที่เป็นมนุษย์ แต่เป็นการ “ทำงานร่วมกัน” โดย AI จะทำหน้าที่อันหนักหน่วงในการสแกนโค้ดจำนวนมหาศาลอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เมื่อ AI ค้นพบสิ่งที่น่าสงสัย มันจะทำการตรวจสอบและยืนยันผลเบื้องต้น จากนั้นจะส่งต่อรายงานให้ผู้เชี่ยวชาญจากทีม Project Zero ตรวจสอบความถูกต้องและประเมินผลกระทบในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนจะแจ้งไปยังผู้พัฒนาซอฟต์แวร์นั้นๆ เพื่อทำการแก้ไขต่อไป

ก่อนหน้านี้ Big Sleep เคยสร้างผลงานชิ้นสำคัญมาแล้วในการค้นพบช่องโหว่ระดับร้ายแรงของ SQLite (ฐานข้อมูลที่ใช้ในแอปนับล้าน) ได้ก่อนที่แฮกเกอร์จะนำไปใช้โจมตีจริง ซึ่งความสำเร็จล่าสุดนี้ถือเป็นอีกก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการนำ AI เข้ามาช่วยปกป้องโลกไซเบอร์ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

อ้างอิง (References)

Share This Article