ซานฟรานซิสโก, แคลิฟอร์เนีย – เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568, OpenAI บริษัทผู้บุกเบิกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ได้สร้างความประหลาดใจให้กับชุมชนนักพัฒนาและนักวิจัยทั่วโลก ด้วยการประกาศเปิดตัวโมเดล AI ใหม่พร้อมกันถึง 2 รุ่น ได้แก่ “Phase 1” และ “Phase 2” ซึ่งทั้งสองโมเดลนี้จะถูกปล่อยออกมาในรูปแบบ “Open-Weight”
การเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ครั้งสำคัญของ OpenAI ที่หันมาเปิดกว้างมากขึ้น หลังจากที่มุ่งเน้นการพัฒนาโมเดลแบบปิด (Closed Model) เช่น GPT-3 และ GPT-4 มาโดยตลอด และถือเป็นการปล่อยโมเดลในลักษณะนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่โมเดล GPT-2 ในปี 2019

เจาะลึก 2 โมเดลใหม่: Phase 1 และ Phase 2
โมเดลทั้งสองถูกออกแบบมาให้มีขนาดเล็กแต่ทรงประสิทธิภาพ โดยเฉพาะด้านการให้เหตุผล (Reasoning) และความสามารถในการต่อยอด
- Phase 1: เป็นโมเดลขนาดเล็กที่มี 7 พันล้านพารามิเตอร์ (7B) ถูกปรับจูนมาให้มีประสิทธิภาพสูงบนฮาร์ดแวร์ระดับผู้ใช้งานทั่วไป (Consumer-grade hardware) โดย OpenAI อ้างว่ามีประสิทธิภาพในการให้เหตุผลสูงกว่าโมเดลอื่นในระดับเดียวกัน เช่น Llama 3 8B ของ Meta
- Phase 2: เป็นโมเดลขนาดใหญ่ขึ้นที่ 26 พันล้านพารามิเตอร์ (26B) ซึ่งมีความสามารถในการให้เหตุผลที่ซับซ้อนมากขึ้น และมีประสิทธิภาพทัดเทียมกับโมเดลที่ใหญ่กว่าอย่าง Llama 3 70B
ไม่ใช่ “โอเพนซอร์ส” แต่เป็น “Open-Weight”
สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ OpenAI เลือกใช้คำว่า “Open-Weight” แทน “Open-Source” เนื่องจากโมเดลเหล่านี้จะถูกเผยแพร่ภายใต้ใบอนุญาต “OpenAI Public License” ซึ่งแม้จะอนุญาตให้นักพัฒนานำไปใช้งานและปรับจูนได้อย่างอิสระ แต่มี ข้อจำกัดที่สำคัญ คือ:
- ห้ามใช้ในทางการทหาร (Military Applications): ไม่อนุญาตให้นำโมเดลไปใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทหารและความรุนแรง
- ห้ามใช้เพื่อเทรนโมเดลอื่น: ไม่อนุญาตให้นำผลลัพธ์ (Output) จากโมเดลเหล่านี้ไปใช้ในการฝึกสอนโมเดล AI อื่นๆ ที่ไม่ใช่ของ OpenAI
เป้าหมายเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลง
OpenAI ให้เหตุผลว่า การปล่อยโมเดล Open-Weight ในครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อ “เร่งวงจรการตอบกลับ” (Accelerate the feedback loop) ระหว่างทีมวิจัย, ทีมผลิตภัณฑ์ และทีมความปลอดภัย การเปิดให้ชุมชนภายนอกได้ทดลองใช้งานและให้ข้อเสนอแนะ จะช่วยให้ OpenAI สามารถเรียนรู้และสร้างแนวทางการพัฒนา AI ที่ปลอดภัยและมีความสามารถสูงขึ้นสำหรับโมเดลเรือธงในอนาคตอย่าง GPT-5 ต่อไป
การตัดสินใจครั้งนี้ยังถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อแข่งขันกับระบบนิเวศของ AI แบบโอเพนซอร์สที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำโดยคู่แข่งอย่าง Meta และ Mistral AI



